รีวิว Seoul Vibe (2022) ซิ่งทะลุโซล

เอาใจแฟนๆที่รักในความเร็ว ความซิ่ง ความมันส์ ด้วยภาพยตร์เกาหลีชนโรงเรื่องใหม่เหยียบคันเร่งให้สุดแล้วไปสนุกกันรับรองว่ามันส์ซะใจขาซิ่งอย่างแน่นอนใน Seoul Vibe (2022) ซิ่งทะลุโซล ภาพยนตร์แอคชั่นอาชญากรรมที่จะพาย้อนกลับไปสัมผัสบรรยากาศเกาหลีใต้ในปี 1988 ท่ามกลางมหกรรมกีฬาโอลิมปิกอันยิ่งใหญ่ ยังมีทีมนักแข่งรถสุดเกรียนที่ต้องปฏิบัติการแฝงตัวเพื่อเปิดโปงขบวนการฟอกเงินระดับชาติ

เรื่องย่อ : Seoul Vibe (2022) ซิ่งทะลุโซล มีฉากหลังอยู่ในเกาหลีใต้ปี 1988 ตรงกับช่วงเวลาที่กรุงโซลได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ท่ามกลางความยิ่งใหญ่อลังการที่ประชาชนต่างภาคภูมิใจ อีกมุมหนึ่งยังเกิดการทุจริตคอร์รัปชันครั้งยิ่งใหญ่โยงใยไปสู่องค์กรระดับประเทศ อัยการใจเด็ดผู้กำลังสืบเบาะแสจึงรวมทีมนักซิ่งที่ต่างมีคดีติดตัวอย่าง ซังกเยดงซูพรีม ให้ทำภารกิจเปิดโปงขบวนการฟอกเงินดังกล่าว แลกกับการนิรโทษกรรมและทำให้ความฝันในการไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังสหรัฐอเมริกาของพวกเขาเป็นจริง

Seoul Vibe (2022) ซิ่งทะลุโซล เป็นหนึ่งในออริจินอลมูฟวี่จาก Netflix ที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอกันมาอย่างยาวนาน ด้วยการนำเสนอเนื้อหาแนวแอ็กชันปนกลิ่นอาชญากรรม ผสมผสานบรรยากาศสไตล์หนังรถแข่งด้วยทุนสร้างระดับบล็อกบัสเตอร์ คุมบังเหียนโดย ผู้กำกับมุนซองฮยอง เจ้าของผลงานภาพยนตร์ As One (2012) และ The King’s Case Note (2017) ดูจากสองเรื่องที่ผ่านมาจึงนับว่าเป็นความท้าทายครั้งใหม่ในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ที่ฉีกแนวออกไป

และสิ่งที่น่าประทับใจคือการดีไซน์สภาพสังคมชนิดเก็บครบทุกรายละเอียด American Dream ของกลุ่มวัยรุ่นที่เริ่มแสวงหาความศิวิไลซ์แบบชาวตะวันตกสะท้อนผ่านสไตล์การแต่งตัว ทรงผม แบรนด์ชื่อดังอย่าง Nike และ Adidas ที่เริ่มมีอิทธิพลต่อโลกตะวันออก แนวเพลงฮิปฮอปที่เริ่มฮิตติดหูและนำมาทำเป็นมิกซ์เทป กระทั่งความนิยมรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดโดยเฉพาะ McDonald’s ที่เพิ่งมาเปิดกิจการสาขาแรกในช่วงโอลิมปิกฤดูร้อน รวมทั้งตึกรามบ้านช่องที่ขับกลิ่นอายปี 1988 ออกมาได้อย่างชัดเจน ถือว่าโลกสมมติที่ทีมเบื้องหลังสร้างขึ้นสอบผ่านฉลุยในการพาเราไปสำรวจบ้านเมืองในยุคนั้น ยิ่งใครเป็นแฟนซีรีส์ Reply 1988 (2015) มาก่อน บอกเลยว่าจะอินกับเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

Seoul Vibe ซิ่งทะลุโซล จึงเป็นภาพยนตร์ที่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวความฝันของกลุ่มวัยรุ่นในปี 1988 ผ่านเหตุการณ์สำคัญอันเป็นความภาคภูมิใจของชาวเกาหลีใต้มาจนถึงปัจจุบัน เสียดสีการเมืองและบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา อุดมไปด้วยวัฒนธรรมป๊อปที่หยิบยกมานำเสนอด้วยรูปแบบ Retro แบบจับต้องได้ เพลิดเพลินและดูง่ายไม่หนักสมองเพราะตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงหนังได้ย่อยมาให้เราหมดแล้ว แม้บางฉากบางตอนจะดูเหนือจริงจนเกือบออกทะเลไปบ้าง แต่ความเบียวเหล่านั้นกลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเร่งดีกรีให้สนุกตื่นตาไม่น่าเบื่อ สุดสัปดาห์นี้ใครกำลังมองหาหนังสักเรื่องเอาไว้ดูเพื่อผ่อนคลายควมเหนื่อยล้าจากการทำงาน บอกได้คำเดียวว่าเรื่องนี้เหมาะด้วยประการทั้งปวง